ด้านพระกฤษณะเมื่อได้รับแจ้งว่ายุธิษเฐียรต้องการคำปรึกษา ก็เร่งเดินทางจากเมืองทวารกาสู่เมืองอินทรปรัศถ์โดยใช้เวลาไม่นาน เมื่อเดินทางมาถึง พี่น้องปาณฑพทุกคนก็ออกมาต้อนรับอย่างให้เกียรติสูงสุด เหมือนทุกครั้งที่เดินทางมาถึง เมื่อทุกคนเข้านั่งในท้องพระโรง ยุธิษเฐียรก็เริ่มปรึกษาพระกฤษณะถึงแนวทางการทำพิธีราชสูยะ ว่าต้องดำเนินการได้อย่างไร
พระกฤษณะพิจารณาอยู่ครู่ใหญ่ แล้วจึงพูดออกมาว่า อันการดำเนินพิธีราชสูยะนั้น คือการที่ยุธิษเฐียรประกาศอำนาจของจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่ กษัตริย์แคว้นอื่นๆ ที่เห็นด้วยก็เดินทางเข้ามาร่วมงานพิธี เพื่อแสดงความอ่อนน้อม ส่วนกษัตริย์แคว้นใดที่ไม่เห็นด้วย ทางยุธิษเฐียรก็จำเป็นจะต้องส่งทหารไปจัดการให้รู้แล้วรู้รอด
พระกฤษณะอธิบายต่อว่า ในบรรดากษัตริย์ทั้งหมดนั้น คงมีเพียงท้าวชราสันธ์ ผู้ปกครองแคว้นมคธเท่านั้น ที่น่าจะเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุด ด้วยความที่ท้าวชราสันธ์เป็นกษัตริย์ที่มีพันธมิตรมาก ทั้งยังมีความสามารถในการรบ และยังโกรธแค้นวงศ์วฤษณี (ราชวงศ์ของพระกฤษณะ) เป็นพิเศษ ท้าวชราสันธ์ยกทัพมาโจมตีถึง 18 ครั้ง พระกฤษณะก็ได้แต่ป้องกัน ไม่สามารถรบชนะได้ จนต้องตัดสินใจย้ายเมืองหลวงจากเมืองมถุรา มายังเมืองทวารกาที่ไกลออกไปถึง 100 โยชน์ ท้าวชราสันธ์จึงไม่ยกทัพมาโจมตีอีก แถมท้าวชราสันธ์ยังเป็นผู้บูชาพระศิวะอย่างยิ่งยวดอีกด้วย
พระกฤษณะบอกกับยุธิษเฐียรตามตรงว่า ตราบใดที่ท้าวชราสันธ์ยังมีชีวิตอยู่เราจะไม่สามารถดำเนินการพิธีราชสูยะให้สำเร็จอย่างแน่นอน ขอให้ยุธิษเฐียรเลิกล้มความตั้งใจเสียเถิด